ในยุคที่โครงการก่อสร้างมีความซับซ้อนมากขึ้น และต้องการการประสานงานระหว่างหลากหลายหน่วยงาน การนำเทคโนโลยี Building Information Modeling (BIM) มาใช้จึงไม่ใช่เพียง “ทางเลือก” อีกต่อไป แต่กลายเป็น “ความจำเป็น” สำหรับโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบรถไฟฟ้า ทางพิเศษ และสะพานข้ามแยก ที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างเจ้าของงาน ผู้ออกแบบ ที่ปรึกษา ผู้รับเหมา และผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ BIM เป็นมากกว่าการสร้างโมเดล 3 มิติ แต่คือเครื่องมือที่ช่วยจัดการข้อมูลของโครงการ (Project Information Management) ตั้งแต่แนวคิดจนถึงการส่งมอบ และตลอดอายุการใช้งานของสิ่งปลูกสร้าง การวาง Framework ที่เหมาะสมจะช่วยให้การดำเนินงาน BIM เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามวัตถุประสงค์ของแต่ละโครงการ และยังช่วยลดความผิดพลาดซ้ำซ้อนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการออกแบบและก่อสร้างได้อย่างชัดเจน บทความนี้จึงขอนำเสนอ แนวทางการจัดทำ BIM Framework ที่ครอบคลุมประเด็นสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ เป้าหมายการใช้งาน (BIM Goals), กระบวนการทำงานร่วมกัน (Collaboration Workflow) และการบริหารจัดการข้อมูล (Data Management) ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้จริงกับโครงการขนาดใหญ่ในประเทศไทย
- BIM Goals: การกำหนดเป้าหมายการใช้งาน BIM
การกำหนดเป้าหมายการใช้งาน BIM (BIM Goals) เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้ทุกฝ่ายในโครงการเข้าใจทิศทางและวัตถุประสงค์ของการนำ BIM มาใช้ร่วมกันอย่างเป็นระบบ เป้าหมายหลักของ BIM สามารถแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ การสนับสนุนการออกแบบ (Design), การสื่อสารด้วยภาพ (Visualization), การประสานงานแบบบูรณาการ (Coordination) และการถอดปริมาณและประมาณราคา (Estimation) โดยแต่ละเป้าหมายจะมีผลต่อระดับความละเอียดของโมเดล (LOD) และกระบวนการทำงานในแต่ละช่วงของโครงการ
เมื่อมีการกำหนด BIM Goals อย่างชัดเจน จะช่วยให้สามารถออกแบบ Workflow ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความขัดแย้งในการทำงาน และเพิ่มความแม่นยำของข้อมูลที่ใช้ในแต่ละขั้นตอน นอกจากนี้ยังควรกำหนดบทบาทของผู้เกี่ยวข้อง เช่น BIM Manager, Coordinator และ Modeler เพื่อให้การสื่อสารและส่งมอบข้อมูลเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การใช้ BIM อย่างเต็มศักยภาพในโครงการขนาดใหญ่ได้อย่างแท้จริง
- Collaboration: การทำงานร่วมกัน
หนึ่งในหัวใจสำคัญของการใช้งาน BIM ในโครงการขนาดใหญ่ คือการสร้างระบบการทำงานร่วมกัน (Collaboration) ที่มีประสิทธิภาพ การประสานงานระหว่างทีมสถาปนิก วิศวกร ผู้รับเหมา และเจ้าของโครงการ จำเป็นต้องอาศัยกระบวนการที่ชัดเจน โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอน
การทำงานร่วมกันด้วย BIM เริ่มตั้งแต่ระยะออกแบบแนวคิด (Conceptual Design) จนถึงแบบรายละเอียด (Detail Design) โดยใช้ Workflow ที่กำหนดลำดับขั้นอย่างชัดเจน เช่น การจัดทำโมเดลพื้นฐาน การแลกเปลี่ยนข้อมูล การตรวจสอบและอนุมัติแบบ ก่อนจะส่งต่อไปยังฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถใช้เครื่องมือ BIM ในการรวมแบบ (Model Federation), ตรวจสอบข้อขัดแย้ง (Clash Detection) และติดตามสถานะงานได้แบบ Real-timeความสำเร็จของการทำงานร่วมกันภายใต้ระบบ BIM ขึ้นอยู่กับการสื่อสารที่ดี การกำหนดขอบเขตหน้าที่ของแต่ละฝ่าย และการใช้ระบบกลางในการจัดเก็บข้อมูล ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้การตัดสินใจในโครงการเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
3. Data Management: การบริหารจัดการข้อมูล
การบริหารจัดการข้อมูล (Data Management) เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้การใช้งาน BIM มีความต่อเนื่องและน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่ที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลจำนวนมากระหว่างทีมงานหลากหลายสาขา การจัดระบบข้อมูลที่เป็นมาตรฐานจึงช่วยให้ทุกฝ่ายสามารถเข้าถึงและใช้งานข้อมูลได้อย่างถูกต้องและเป็นปัจจุบัน
มาตรฐานสากลอย่าง ISO 19650 ได้กำหนดแนวทางการจัดเก็บข้อมูลไว้เป็นโครงสร้างหลัก 4 ส่วน ได้แก่
- Work In Progress (WIP) – สำหรับงานที่ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ
- Shared – สำหรับการแบ่งปันข้อมูลให้ทีมอื่นตรวจสอบ
- Published – สำหรับข้อมูลที่ผ่านการอนุมัติแล้ว
- Archive – สำหรับเก็บรักษาข้อมูลที่เสร็จสมบูรณ์
การใช้โฟลเดอร์เหล่านี้ร่วมกับระบบ CDE (Common Data Environment) ช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้ไฟล์ผิดเวอร์ชัน และเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมเอกสารและแบบก่อสร้าง การบริหารข้อมูลที่ดีจึงเป็นรากฐานของการส่งมอบงาน BIM ที่มีคุณภาพและสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้อย่างครบถ้วน